อย่างไรก็ดี ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวได้ดีตามจำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง” นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกันยายน 2556 และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ว่า “เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีสัญญาณชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยทางด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 หดตัวร้อยละ -19.4 และ -7.3 ต่อปี ตามลำดับ ตามการหดตัวของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บบนฐานการบริโภคภายในประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานสูงของปีก่อน สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรส่งสัญญาณชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าเช่นกัน สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 หดตัวร้อยละ -12.7 และ-7.9 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนในหมวดก่อสร้างยังคงขยายตัวได้ดี โดยยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 3.4 และ 3.0 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีการเติบโตและกลับเข้าสู่ระดับปกติภายหลังจากที่มีการเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2555 เช่นเดียวกับภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 12.6 และ 22.0 ต่อปี ทางด้านการส่งออก มีสัญญาณชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าเช่นกัน โดยการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน 2556 หดตัวร้อยละ -7.1 ต่อปี จากการส่งออกที่หดตัวในหลายตลาด อาทิ ตลาดออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสิงโปร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายน 2556 สินค้าส่งออกบางรายการมีการฟื้นตัวดีขึ้น อาทิ สินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นมาขยายตัวร้อยละ 4.4 และ 1.0 ตามลำดับ จากสินค้าข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และไก่แปรรูป เป็นสำคัญ สอดคล้องกับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ที่ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 การส่งออกสินค้าหดตัวร้อยละ -1.7 ต่อปี แต่มูลค่าการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 0.7 และ 8.5 ต่อปี ตามลำดับ อีกทั้ง ตลาดอาเซียนในภาพรวมที่ยังคงขยายตัวได้ดี สอดคล้องกับเมื่อพิจารณาเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาลแล้ว พบว่ายังคงขยายตัวได้ร้อยละ 1.5 ต่อไตรมาส สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน 2556 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.6 ทำให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.7 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.5 สำหรับอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2556 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกำลังแรงงานรวม และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2556 อยู่ที่ร้อยละ 44.6 อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60.0 สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ นางวิภารัตน์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้อำนวยการส่วนแบบจำลองและประมาณการเศรษฐกิจ ชี้แจงข้อมูลเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมว่า “สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 พบว่า ในภาคบริการยังคงขยายตัวได้ดีสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวในระดับสูง ที่ร้อยละ 27.6 และ 26.1 ต่อปี ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่มาจากจีนและมาเลเซียเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 หดตัวร้อยละ -4.3 และ -3.4 ต่อปี ตามลำดับ จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ โดยเฉพาะข้าวที่ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และผลผลิตกุ้งจากปัญหาโรคระบาด สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ที่หดตัวร้อยละ -2.9 และ -3.6 ต่อปี ส่วนหนึ่งมาจากการลดลงของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กุ้งแช่แข็งที่ได้รับผลกระทบจากโรคตายด่วน (Early Mortality Syndrome: EMS) และการลดลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการเร่งการผลิตไปแล้วในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม มีข้อที่น่าสังเกตคือ บางอุตสาหกรรมเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายที่สามารถกลับมาขยายตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ที่ร้อยละ 3.2 เนื่องจากคำสั่งซื้อภายในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายในปีนี้มากกว่าปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่กลับมาขยายตัวติดต่อกัน 2 เดือน อันมีสาเหตุหลักจากการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น