นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ “นโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมกับการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs” ให้กับนักบริหาร SMEs ในการปิดการอบรมหลักสูตรนักบริหาร SMEs ระดับสูง (SMEs Advance ) ภายใต้โครงการยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจ SMEs ของ สสว. เมื่อเร็วๆ นี้ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในระยะ 20 ปีข้างหน้า เป็นไปตามกรอบแผนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีนโยบายชัดเจน ต้องการพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกลุ่มประเทศที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยในระดับปานกลาง ก้าวข้ามไปสู่ประชากรของประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดความเสมอภาค เป็นมิตรและไม่สร้างปัญหาทางสิ่งแวดล้อม โดยทางภาครัฐได้ปรับกระบวนการด้านต่างๆโดยบูรณาการส่งเสริมให้เอกชนเติบโตและอยู่รอดต่อไปได้ ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งส่งเสริมให้เกิดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)ที่ครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และยึด นโยบายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้ว่าสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไทยในปัจจุบันนี้ จะเติบโตและพัฒนาต่อไปข้างหน้าได้ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง สร้างประสิทธิภาพการผลิต(Productivity)และสร้างพันธมิตรรอบตัวใหม่ๆให้มากขึ้น เพราะรอบตัวทุกด้านถูกกำหนดจากหลายปัจจัยภายนอกต่างๆ รวมทั้งการเมือง และกระแสโลกด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ต่างเป็นปัจจัยบีบคั้นให้ผู้ประกอบการต้องร่วมกันพัฒนา ขณะที่ผู้บริโภคได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างทั่งถึงจากคู่แข่งมากขึ้น เทคโนโลยีของเก่าที่มีอยู่แบบเดิมไม่สามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ หาก SMEs ไม่ตัดสินใจที่จะก้าวไปก็จะไม่ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ธุรกิจ SMEs จึงมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งหมดจึงเกิดความท้าทายใหม่ให้กับวงการผู้ประกอบการ SMEs ของไทย นายวิฑูรย์ กล่าวถึงจุดปลายทางสุดท้ายในอีก 20 ปีข้างหน้าว่าคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างสรรค์อุตสาหกรรมบนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากความรู้ของเราที่แท้จริงไม่กลัวว่าคนอื่นจะเลียนแบบได้ และพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดย 5 ปีแรกจะเป็นการปรับฐานเตรียมความพร้อม SMEs เข้าสู่ AEC เพื่อก้าวสู่มาตรฐานโลกต่อไป อีก 10 ปีต่อไปจะเป็นผู้จัดการห่วงโซ่อุปทานครบวงจรของอาเซียน และจุดหมายปลายทางในอีก20 ปีถัดไป คือ การมีสินค้าไทยที่มียี่ห้อของไทยเราเองออกไปขายทั่วโลก นายวิฑูรย์ กล่าวเสริมอีกว่า สิ่งที่ SMEs ต้องดำเนินการและเป็นดัชนีชี้ที่สำคัญต่อศักยภาพของ SMEs ไทย คือนอกจาก จะบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ปรับเปลี่ยนกระบวนการภายในให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เร็วแล้ว สิ่งที่ SMEs ต้องทำเพิ่มคือ ความรับผิดชอบต่อสังคม และการคิดสร้างสรรค์นวตกรรมในสิ่งใหม่ๆ บนพื้นฐานที่ SMEs ต้องปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง แบบยั่งยืนสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นส่วนหนึ่งที่ดีของสังคม “ขณะนี้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและบีโอไอ กำลังดำเนินการออกเป็นมาตรฐานการส่งเสริมธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือธุรกิจSMEs ให้แข่งขันในต่างประเทศได้ คาดว่าจะประกาศได้ในปลายปี 2557 โดยเฉพาะเรื่องเครื่องหมายสีเขียว ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ต่างชาติมี และหากผู้ประกอบการไทยไม่มี จะทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถอยู่รอดได้ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ตั้ง เป้าหมายยกระดับ SMEs ไทยจำนวน 70,000 โรงงานเข้าสู่บันไดขั้นแรกของอุตสาหกรรมสีเขียวให้เร็วที่สุด”